วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สิ่งศักดิ์สิทธิ์กับชีวิตคนไทย


1.เนื้อหา


สิ่งศักดิ์สิทธิ์...คืออะไร ?

            มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความเชื่อและความศรัทธาในอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แม้จะยังไม่รู้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นคืออะไร ? แต่ทุกคนเชื่อว่าสิ่งนั้น...เป็นสิ่งที่มีอำนาจสามารถให้คุณและให้โทษ ให้เป็นและให้ตายแก่มนุษย์ทุกคนได้ โดยไม่มีใครสามารถหยุดยั้งพลังอำนาจและคำสั่งที่เด็ดขาดนั้นได้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ที่มียศตำแหน่ง หรือเทพเจ้าต่างๆที่มนุษย์ตั้งขึ้นมาตามความเชื่อของบรรพบุรุษ หรือเทพในนิยายปรัมปราที่เล่าขานสืบต่อกันมาถึงความมหัศจรรย์ในอิทธิฤทธิ์ อภินิหารย์ต่างๆ มนุษย์และเทพเจ้าจอมปลอมเหล่านั้นก็ไม่สามารถที่จะมีพลัง อำนาจเหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่นี้ได้


ความเชื่อ !


          มนุษย์ ทุกคนมีความเชื่อและความศรัทธาในแต่ละศาสนา สืบทอดมาจากพ่อแม่ และบรรพบุรุษ ตามเผ่าพันธุ์ที่สืบเชื้อสายต่อกันมา แต่ละกลุ่มแต่ละเผ่าพันธุ์ก็มักจะเชื่อว่าสิ่งที่ตนเองศรัทธานั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นผู้วิเศษ เป็นเทพเจ้าที่เก่งกาจ เป็นผู้ที่มีอำนาจ จากความเชื่อเหล่านี้ทำให้มนุษย์ตกหลุมพรางสู่ความมืดมน โง่เขลาและงมงาย จนกระทั่งสติปัญญาที่มีอยู่นั้นไม่สามารถที่จะใช้พิจารณาเพื่อให้เกิดความถูกต้องตามธรรมชาติที่เป็นพื้นฐานของมนุษย์ได้

          เมื่อความเชื่อแบบโง่เขลาและงมงายได้ครอบงำความเป็นไปในการดำเนินวิถีชีวิต ทำให้เกิดความยโส โอหัง เกิดความโลภ ความอยากได้ อยากมีอภิสิทธิ์เหนือผู้อื่น ดังนั้นสังคมจึงเกิดผู้ที่ควบคุมความเชื่อ และผู้ที่จะต้องยอมรับที่จะเชื่อ

         ผู้ที่ควบคุมความเชื่อ คือ ผู้ที่บอกว่าตนเองใกล้ชิดเทพเจ้าต่างๆ หรือเป็นตัวแทนของเทพในนิยายที่มีอำนาจตามที่ได้มีการเขียนบทละครไว้ บางคนอาจถึงขั้นเป็นร่างหุ่นให้เจ้าต่างๆได้มาสิงสู่ ที่มักจะเรียกว่า ร่างทรง หมอผี หมอดู นักบวช และอื่นๆ บุคคลเหล่านี้แอบอ้างเพื่อให้เกิดการเชื่อฟัง และเพื่อเป็นหนทางในการแสวงหาผลประโยชน์อย่างไม่รู้จบ รุ่นแล้ว รุ่นเล่า สืบทอดต่อกันมา

         ผู้ที่จะต้องยอมรับที่จะเชื่อ คือ คนธรรมดาๆ ชาวบ้าน แม่ค้า นักเรียน นักศึกษา นักธุรกิจ มนุษย์ทุกชนชั้นที่เป็นผู้โดนกระทำ และพร้อมจะเป็นผู้กระทำตามในสิ่งที่เชื่อ เพื่อผลประโยชน์ในความเชื่อของตนเอง และสิ่งที่คิดว่าจะได้เมื่อทำตาม บุคคลเหล่านี้ตกอยู่ในสภาวะที่แตกต่างกัน


        ความเชื่อของคนไทย ความเชื่อของมนุษย์ส่วนใหญ่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ เมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมีผลต่อวิถีชีวิตมนุษย์ ทั้งให้คุณประโยชน์และให้โทษ แล้วมนุษย์ไม่สามารถค้นหาสาเหตุมาอธิบายได้ ทำให้เกิดความหวาดกลัว

สำหรับบริบทของสังคมไทยในทุกภาคส่วน มีความเชื่อที่หลากหลาย อันเป็นที่มาของความเชื่อและพิธีกรรมตามประเพณี มีธรรมเนียมและรูปแบบการปฏิบัติที่แปลกแตกต่างกัน

ความเชื่อที่ปรากฏอยู่ในสังคมไทย สามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มของความเชื่อ ดังนี้

1. ความเชื่อทางพระพุทธศาสนา 

เนื่องจากคนไทยนับถือพระพุทธศาสนามาตั้งแต่บรรพบุรุษ ความเชื่อจึงมุ่งเน้นพระรัตนตรัยหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา คือ

ก) ความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ใครทำกรรมใดไว้ ผลกรรมนั้นจะตามสนอง ซึ่งมีความเชื่อว่า ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้

ข) ความเชื่อเรื่องตายแล้วเกิดใหม่ สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเวียนว่ายตายเกิดวัฏสงสาร ตามผลแห่งกรรมของตน เป็นความเชื่อตามหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา

ค) ความเชื่อเรื่องกฎแห่งธรรมชาติ

ง) ความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

2. ความเชื่อเกี่ยวกับวิทยาคม 

เป็นความเชื่อเรื่องสิ่งลึกลับที่เหนือธรรมชาติ   ไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ แยกออกได้เป็น 2 เรื่อง คือ

ความเชื่อเรื่องเวทมนตร์คาถา  เป็นจำพวกตัวอักษรหรืออักขระที่ผูกเป็นข้อความ ถือว่ามีอำนาจลึกลับแฝงเร้นอยู่ เมื่อนำไปใช้ตามที่กำหนด เช่น  คาถาอาคมนำไปบริกรรม เสกเป่าหรือสวด เชื่อว่าจะเกิดความศักดิ์สิทธิ์หรือเกิดความขลัง ปัจจุบันความเชื่อประเภทนี้ได้ลดน้อยลง ด้วยเหตุความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่

ความเชื่อเรื่องเครื่องรางของขลัง   เป็นความเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น เชื่อว่า สามารถป้องกันอันตราย ยิง แทง ฟันไม่เข้า ตัวอย่างเช่น เหล็กไหล เขี้ยวเสือ ฯลฯ

3. ความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 

ความเชื่อประเภทนี้น่าจะเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับคนไทยมาแต่อดีต ส่วนมากจะพบเห็นได้จากพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง พระเครื่อง รูปเหมือนพระสงฆ์ที่เคารพเลื่อมใส เป็นพระเกจิอาจารย์ อาจกล่าวรวมไปถึงศาลปู่ตา ศาลหลักเมือง ศาลเจ้าพ่อ ศาลเจ้าแม่ ความเชื่อประเภทนี้ยังคงมีปรากฏให้เห็นในสังคมไทยยุคปัจจุบัน

4. ความเชื่อเรื่องผีสางเทวดา 

สิ่งลึกลับที่มองไม่เห็นตัวตน ถือว่ามีอิทธิฤทธิ์และอำนาจเหนือมนุษย์ สามารถให้คุณให้โทษก็ได้ สิ่งเหล่านี้ ทางวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถหาบทสรุปได้แน่ชัดว่ามีจริงหรือไม่ บางครั้งในสิ่งที่เกิดขึ้นก็มีเหตุอันน่าเชื่อถือ

5. ความเชื่อเรื่องโหราศาสตร์ หมายถึง วิชาว่าด้วยการพยากรณ์ โดยอาศัยดาราศาสตร์เป็นหลัก ความเชื่อเช่นนี้ปรากฏแพร่หลายในทุกชนชั้นของสังคมไทย จนกระทั่งมีการเรียนการสอน สืบทอดอย่างเป็นทางการ และยึดถือเป็นอาชีพ บทความดีๆ


               ความเชื่อและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน ความเชื่อและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เปรียบเสมือนกำลังใจในการใช้ชีวิตอยู่ของคนไทย เพราะคนไทยแต่โบราณมา จะมีการเข้าวัด หรือมีเทศกาลอะไร ก็จะเข้าวัด ทำบุญ และเชื่อเรื่อง ผีสาง นางไม้ เทวดา มีการบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่อยู่ตามต้นไม้ที่มีอายุยืนยาว มีการสร้างศาลพระภูมิหน้าบ้าน เพื่อให้ผีบ้านผีเรือน ช่วยปกปักรักษาบ้าน และยังมีการเชื่อเรื่อง ผีในรูปแบบต่าง ๆ ทำให้คนรู้สึกกลัวไปต่าง ๆ นา ๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาจจะเป็นที่จิตเราเองก็ได้ ที่นึกไปเอง จินตนาการไปเองในเรื่องเหล่านี้ แต่จะมีคนบางจำพวกที่ หลงงมงายเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรื่องไสยศาสตร์ ดูได้อย่างในปัจจุบันที่มีผู้คนจำนวนหนึ่งเสียเงิน ทองมากมายให้กับหมอดู เพื่อที่จะทำนายอนาคตตัวเอง ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร มีงานการ เงินทอง เนื้อคู่ เป็นอย่างไร หรือ ในเรื่องไสยศาสตร์การทำเสน่ห์ ให้ผัวรัก ผัวหลง จนบางครั้งคนที่ไปทำอาจนำพาภัย เข้ามาสู่ตัวเอง กว่าจะรู้ก็สายเกินไปแล้ว ในความเป็นจริงแล้วความเชื่อเหล่านี้ ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิด แต่ควรจะพิจารณาถึงสิ่งที่เรากำลังกระทำอยู่ มองให้ลึกถึงความเป็นจริง ว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราดำเนินชีวิตไปอย่างระมัดระวังก็จริงอยู่ แต่ควรตั้งอยู่บนรากฐานของสิ่งที่ถูกต้อง


ตัวอย่างของอิทธิพลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีผลต่อการดำเนินชีวิตของคนไทย


พระแม่โพสพ

ชาวนาในอดีตรุ่นเก่าที่ทำนาเพื่อเลี้ยงชีพนั้นจะให้ความเคารพแม่โพสพ มีพิธีกรรมต่างๆ มากมาย เริ่มด้วยดูตามปฏิทินว่าปีไหนวันอะไรเป็นวันดี แล้วต้องดูว่าเป็นวันข้างขึ้นของเดือนนั้น แล้วดูกำลังวันด้วยว่าวันอะไรหันหน้าไปทางไหน ไม่หันหน้าไปตรงกับผีเหล็กเหลาหลวง แล้วเริ่มทำการไถ เมื่อเริ่มฤดูกาลที่จะลงมือทำนา







พระแม่คงคาและประเพณีลอยกระทง



            วันลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทยส่วนใหญ่ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย หรือเดือนยี่ (เดือนที่ 2) ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา "มักจะ" ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป 



           ในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาพระแม่คงคาด้วย

                                               

การบนบานศาลกล่าว

เมื่อพูดถึงการ บนบานศาลกล่าว คงคุ้นหูคนไทยกันดีอยู่แล้ว เพราะนี่เป็นอีกความเชื่อหนึ่งที่มีมานานแสนนานเหลือเกิน นับแต่เรามีการกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การบนบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นสิ่งที่ปฏิบัติตามๆ กันมา เรียกได้ว่าเป็นความเชื่อยอดนิยม ที่ไม่ฮือฮา แต่ทว่าซึมลึกอยู่ในจิตใจคนไทยอีกเช่นกัน
การบนบานศาลกล่าว คือ การขอร้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือในสิ่งที่ตนเองต้องการอยากจะได้  หรืออยากให้เป็นไป  ถ้าท่านช่วยให้สำเร็จแล้วจะมาให้สิ่งตอบแทนตามที่เคยพูดไว้ คือ แก้บน เพื่อให้ความน่าจะเป็นเพิ่มมากขึ้นอีก หากถามว่าเพราะเหตุอะไรคนถึงต้องบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นั่นก็อาจจะแล้วแต่เจตนา บางคนต้องบนเพราะสิ้นหวัง หมดหนทาง ไม่รู้จะแก้ไขปัญหาตรงหน้าอย่าไรแล้ว สุดท้ายจึงต้องหันหน้ามาพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่กราบไหว้บูชา ใครแนะนำไปบนที่ไหนก็ไป  กับอีกประเภทหนึ่งที่อาจจะบนเพราะความอยากรู้อยากเห็น อยากพิสูจน์ อยากทดสอบ เรียกว่าลองทำดูไม่เสียหลาย  และอีกประเภทหนึ่งคือบนแล้วติดใจ เคยได้ดั่งใจหวัง ที่นี้เลยมุ่งมั่นหวังแต่บนอย่างเดียว


ตัวอย่างเช่น  พระพรหมโรงแรมเอราวัณ สี่แยกราชดำริ


มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือทั้งชาวไทยและต่างชาติ เชื่อว่าที่นี่จะให้ดีต้องบนบานกันด้านธุรกิจ  และนักธุรกิจฮ่องกงบินมาแก้บนแล้วหลายคน และมักจะแก้บนกันด้วยละครรำ
















2.แนวคิด

บทความนี้อ้างมาจากแนวคิดนิเวศวิทยามนุษย์ กล่าวคือ " ศาสนาและความเชื่อมีอิทธิพลต่อมนุษย์มาตั้งแต่สมัยโบราณในแง่ของ การที่มนุษย์อยู่อาศัยในระบบนิเวศ โดยมีขอบเขตของศาสนาและความเชื่อเป็นกรอบ กฎเกณฑ์ในการอยู่ร่วมกันของสังคมมนุษย์


3.บทวิเคราะห์ 

           เราได้เห็นแล้วว่า คนไทยมีค่านิยมในการนำเอาแบบอย่างของความห้าวหาญและพระปรีชาสามารถของกษัตริย์ ตัวอย่างเช่น จปร.เป็นสถาบันทางทหารที่ผลิตนายทหารหลักของชาติทั้งยังมีผุ้ก่อตั้งคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงยกย่องให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพบูชาของทุกคนที่มาอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร ในรั้วกำแพงแดงเหลือง จึงใช้เป็นหลักในใจในการมุ่งทำความดี มุ่งเจริญต่อกัน และก้าวไปในครรลองของคุณธรรมและจริยธรรม

4. สรุป

             สังคมไทย มีความเชื่อในลัทธิ ศาสนาต่างๆ ในการบวงสรวงบูชา สร้างสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และเทพเจ้า โดยแสดงออกถึงนัยที่เกิดจากความกลัวของมนุษย์ขาดที่พึ่ง ตั้งแต่ยุคโบราณกาล ดังนั้นศาสนาและบูรพกษัตรย์จึงถูกนำมาใช้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว บำรุงขวัญและกำลังใจ ว่าจะมีการให้คุณหากบูชา และเป็นโทษหากลบหลู่ เช่น เดียวกับ รร.จปร.ที่ต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยึดเหนี่ยวจิตใจ นั่นก็คือองค์รัชกาลที่ 5 พ่อขุนผาเมือง และเจ้าพ่อขุนด่าน

5. websiteอ้างอิง


ผู้จัดทำ นนร.ปัญญวัชร์  วัชรกาฬ ชั้นปีที่ ๒ ตอนกฎหมายและสังคมศาสตร์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น